OPEL - PATCHARIDA SMITTINET
  • Projects
  • Mail Art Project
  • Writings
  • CV
  • Contact

12 น. 

    วันหนึ่งที่แดดร้อน มีแสงจ้าจากดวงอาทิตย์เวลาเที่ยงตรง ฉันจำได้ว่ามันสว่างจนแสบตาทั้งที่ไม่ได้มองขึ้นไปบนท้องฟ้า จำได้ว่าเหงื่อไหลลงจากไรผมจนถึงคิ้ว แต่จำความรู้สึกร้อนบนผิวหนังไม่ได้แล้ว
    เรากำลังเดินลงจากเนินกลางแดด เนินไม่สูง ลาดลงจากสถานีสู่ชานชาลา ทางเดินทอดยาวเป็นทางแคบระหว่างรถไฟสองขบวน ขบวนหนึ่งสีน้ำตาลเข้ม เหมือนสีดำที่โดนแสงแดดขัดจนซีดลง อีกขบวนหนึ่งสีเหลือง เหลืองเก่าๆเหมือนสีที่คุ้นเคยกันดี
    เราถ่ายรูปกันตามประสาคนท่องเที่ยว ที่มักถ่ายรูปกับทุกการหยุดพักระหว่างทาง กับทุกจังหวะการเปลี่ยนแปลง ของเวลา และสถานที่
    ฉันมัวแต่ตื่นเต้น จนไม่ได้สนใจฟังเสียงประกาศอู้อี้ที่นายสถานีกำลังพูด เสียงของเขากลืนไปกับเสียงซ่าของลมที่กำลังพัดกิ่งไม้แห้งๆในบริเวณนั้น
    รู้สึกตัวอีกทีก็ตอนได้ยินเสียงรถไฟกำลังเคลื่อนขบวนออกจากสถานี และเมื่อเสียงตะโกนของเขาปลุกให้เท้าของฉันตื่น
    “รีบขึ้นรถไฟเร็ว!”
    ไม่ถึงกับสะดุ้ง ก็แค่ทำอะไรไม่ถูก ฉันหันซ้ายหันขวาเหมือนกำลังส่ายหัว แล้วก็คว้าเอาราวบันไดร้อนฉ่าของรถไฟขบวนสีเหลือง และพยายามเร่งฝีเท้าให้เท่ากับจังหวะการเคลื่อนตัวของรถไฟ
    ฉันจำแรงหน่วงนั้นได้ดี ความรู้สึกเหมือนกำลังจะตกบันไดขั้นสุดท้าย หลังและหัวเอนตามแรงโน้มถ่วงที่ไม่เคลื่อนไหว มือและเท้าเกาะกับการเร่งความเร็วของรถไฟ การยกขาเพื่อขึ้นบันไดแต่ละขั้นทำให้รู้สึกถึงแรงดึงดูดจากใต้พื้นดิน ราวกับว่าน้ำหนักตัวเพิ่มขึ้นทุกครั้งที่กำลังก้าว แต่สุดท้าย ก็ขึ้นมาจนถึงขั้นบนสุด ขึ้นมาจนถึงหน้าทางเข้ารถไฟบนชั้นสอง
    นายขบวนยืนอยู่หน้าทางเข้า เขาหันหลังให้ฉัน และกางแขนข้างหนึ่งออกเพื่อขวางทางเข้าไปในร่มหลังคารถไฟ และพูดเหมือนกำลังบ่นให้ฉันได้ยิน
    “เธอต้องขึ้นอีกขบวน ขบวนนี้ไปคนละทาง เธอต้องขึ้นอีกขบวน ไม่ใช่ขบวนนี้ มันคนละทาง”
    เขาพูดงึมงำด้วยน้ำเสียงร้อนและรำคาญ
    “มันคนละทาง  มันคนละทาง ไม่ใช่ขบวนนี้ ขบวนนี้ไปคนละทาง เธอต้องขึ้นอีกขบวน”
    ฉันฟังอยู่สองสามรอบถึงจะเข้าใจ กว่าฉันจะรู้ตัว กว่าจะฟื้นจากความตื่นเต้นของการต่อสู้กับแรงเหวี่ยงเมื่อครู่ และกว่าจะได้สติหันกลับไปมองหารถไฟอีกขบวน ฉันก็เห็นแค่หลังคาของรถไฟสีน้ำตาลเข้มที่กำลังแล่นออกไปอีกทาง ห่างออกไปเรื่อยๆ ห่างไปไกล และช้าเกินกว่าจะเปลี่ยนใจได้เสียแล้ว
    ฉันมองมันอยู่ครู่หนึ่ง แค่ครู่หนึ่งที่รถไฟสองขบวนจะแล่นสวนทางกัน แล้วจู่ๆกิ่งไม้ที่มีแต่ใบแห้งกรอบก็ปรากฎตรงหน้า ฉันแทบก้มหลบไม่ทัน และเมื่อเงยหน้าขึ้นมาอีกที ก็เหมือนกับว่าไม่เคยมีรถไฟขบวนสีน้ำตาลนั้นมาก่อน รางรถไฟที่เคยขนานกันก็หายไปแล้วด้วยซ้ำ
    นายขบวนพยายามอธิบายว่ารถไฟขบวนนี้กำลังแล่นไปที่ไหน และรถไฟขบวนที่ฉันควรจะขึ้นนั้นกำลังมุ่งหน้าไปในทิศทางใด เหมือนเขากำลังพยายามแจกแจงเหตุผลให้ฉันรู้สึกผิดกับความผิดพลาดครั้งนี้ เขาคงต้องการให้ฉันแสดงออกว่าฉันกำลังเสียใจ หรือเสียดายที่ตัดสินใจผิดไป แต่ฉันยืนยันที่จะรู้สึกนิ่งเฉยกับทุกอย่างที่เกิดขึ้น
    สีหน้าที่ดูตื่นตกใจของฉัน เป็นเพียงความหวาดกลัวจากขณะที่กำลังวิ่งขึ้นรถไฟที่กำลังเร่งความเร็วเท่านั้น ฉันยืนยันกับเขาว่า
    “ไม่เป็นไร ไปไหนก็ได้ มันก็เหมือนกันหมดนั่นแหละ”
    เขายังคงอธิบายต่อด้วยน้ำเสียงงึมงำ และยังกางมือกั้นไม่ให้ฉันเข้าไปในตัวรถไฟ
    จะทำไงได้ถ้าต้องติดอยู่ตรงหน้าทางเข้า ฉันก็ขึ้นรถไฟมาแล้ว และกำลังเดินทางไปพร้อมกับมัน รถไฟคงไม่หยุด หรือกลับหลังหันให้ฉันได้เดินกลับไปขึ้นรถไฟอีกขบวน ถึงจะต้องรออยู่อย่างนี้จนถึงสถานีหน้า ก็ไม่เป็นไร
    “ไม่เป็นไรทั้งนั้น มันก็เหมือนกันนั่นแหละ”
    ฉันเริ่มชินชากับลมร้อนที่ปะทะหน้า และแสงแดดจ้า ณ ที่ตรงนี้
    ฉันหันหลังให้นายขบวน แล้วมายืนเอามือเท้ากับราวเหล็กสีเหลือง ที่ร้อนเหมือนกะทะที่เพิ่งถูกยกออกจากเตาไฟ ทำเป็นว่ากำลังยืนชมวิว วิวที่มีสีซีด ซีดเพราะแสงแดดจ้าจนชะล้างความสดใสของต้นไม้ ใบไม้ และดินตามทางที่รถไฟแล่นผ่านไป
    ฉันนึกไปถึงรถไฟอีกขบวน จินตนาการว่ารถไฟสีน้ำตาลเข้มกำลังเดินทางไปในที่ๆพอจะมีร่มเงาจากเมฆอยู่บ้าง ผู้โดยสารบนรถไฟขบวนนั้นคงกำลังเห็นวิวต้นไม้สีเขียว รถไฟคงกำลังแล่นด้วยความเร็วที่พอพัดเอาลมมาคลายร้อนของแดดเวลาเที่ยงวัน เสียงของเครื่องยนต์คงเบากว่าของรถไฟขบวนนี้ ที่นั่งในรถไฟขบวนนั้นคงเป็นเบาะหนังเก่าๆสีน้ำเงิน บรรยากาศในตู้รถไฟคงเป็นสีฟ้าอุ่นๆจากแสงแดดและสีที่สะท้อนจากเบาะที่นั่ง ผู้โดยสารคงกำลังแกว่งพัดสาน เพื่อฆ่าเวลาระหว่างการเดินทางท่ามกลางอากาศที่ร้อนอบอ้าว ฉันเห็นภาพสารพัด ราวกับว่าได้ขึ้นรถไฟสีน้ำตาลขบวนนั้นไปแล้ว เกือบลืมไปว่า ฉันหลงมาขึ้นรถไฟขบวนสีเหลือง และกำลังติดอยู่ตรงหน้าทางเข้ากลางแดดนี่
    ฉันคงคิดอยู่นานจนนายขบวนถอดใจ เขาเงียบไปจนเหมือนว่าเขาไม่เคยมีตัวตนอยู่ตรงนั้น ฉันตัดสินใจที่จะไม่หันกลับไปมอง ปล่อยให้เขาหายไปกับความเงียบและความร้อนคงดีกว่า


    ตอนนี้แดดร้อน มีแสงจ้าจากดวงอาทิตย์เวลาเที่ยงตรง มันสว่างจนแสบตาทั้งที่ไม่ได้มองขึ้นไปบนท้องฟ้า เหงื่อกำลังไหลลงจากไรผมจนถึงคิ้ว แต่ฉันจำความรู้สึกร้อนบนผิวหนังไม่ได้แล้ว
    ฉันใช้นิ้วชี้วาดตามแนวคิ้วข้างขวา เพื่อปาดเหงื่อที่ไหลลงมาจากไรผม รูปทรงที่นิ้วได้สัมผัสทำให้ฉันนึกถึงเขา คนที่ตะโกนให้ฉันรีบขึ้นรถไฟ เขาขึ้นรถไฟขบวนสีน้ำตาลนั้นไปแล้ว ส่วนฉันยืนร้อนแดดอยู่บนรถไฟสีเหลืองขบวนนี้
    รถไฟสีเหลืองแล่นไปเหมือนไม่เคยคิดถึงชานชาลาที่มันเพิ่งจากมา มันแค่มีหน้าที่วิ่งไปตามราง จากที่หนึ่งไปอีกที่หนึ่ง ไม่เคยมีปลายทางสุดท้าย ไม่มีวันที่มันจะตัดสินใจหยุดอยู่ที่สถานีใดสถานีหนึ่ง และมันกำลังพาฉันแล่นผ่านไอร้อน ที่อบอวลไปด้วยคำถามมากมาย
    ตอนนี้เขากำลังตามหาฉันในรถไฟสีน้ำตาลนั้นอยู่หรือเปล่า
    เขากำลังเดินจากตู้หนึ่งไปอีกตู้หนึ่งเพื่อมองหาฉันหรือเปล่า
    เวลาผ่านไปเท่าไหร่แล้ว
    เขารู้หรือยังว่าฉันไม่ได้ขึ้นรถไฟขบวนนั้นไป
    เขาจะทำยังไงต่อไป
    เขาจะรอฉันไหม
    เขาจะเสียใจไหมที่ฉันไม่ได้ตามหลังเขาไปขึ้นรถไฟขบวนเดียวกัน
    เขาจะกำลังบอกเรื่องนี้กำลังใคร
    หรือจะเก็บไว้กับที่นั่งริมหน้าต่างของรถไฟขบวนนั้น
    จนถึงปลายทาง
    จนมืดค่ำ
    จนอากาศร้อนเริ่มเย็นลง
    จนถึง วัน เวลา ที่รถไฟสองขบวนนี้จะมาจอดที่สถานีเดียวกันอีกครั้ง
    แต่ตอนนี้แดดร้อน มีแสงจ้าจากดวงอาทิตย์ที่เพิ่งผ่านเวลาเที่ยงวัน มันสว่างจนแสบตาเมื่อฉันพยายามมองขึ้นไปบนท้องฟ้า เหงื่อยังคงไหลลงจากไรผมจนถึงคิ้ว แต่ฉันจำความรู้สึกร้อนบนผิวหนังไม่ได้แล้ว
    รถไฟกำลังแล่นลงเนินกลางแดด เนินไม่สูง ลาดลงจากบริเวณที่มีต้นไม้กิ่งแห้งๆไปที่ราบ ที่ราบมีแต่ดินทราย หญ้าแห้งที่ตายแล้ว และรางรถไฟข้างหน้าที่ยังทอดไปสุดลูกหูลูกตา


​


13 มิถุนายน 2560


Powered by Create your own unique website with customizable templates.
  • Projects
  • Mail Art Project
  • Writings
  • CV
  • Contact