เพียงลมทะเลวูบหนึ่ง, 2017
“เธออยู่ตัวคนเดียวตอนนี้?”
“จริงอยู่ แต่ฉันมาไกลแล้ว ฉันเดินทางออกมาไกลขนาดนี้”
“ไกลจนหลงทาง?”
“ใช่ เคว้งคว้าง ลำพังกลางมหาสมุทร ไม่ว่าจะหันไปทางไหนก็ไม่มีใครเหลืออยู่แล้ว”
“แล้วจะไปต่อทางไหน ยังไง?”
“ตะโกนถามเท่าไหร่ก็ไม่มีใครรับรู้”
“ไม่มีคำตอบ?”
“ไม่แน่ใจว่ายังมีคนคอยเรียกชื่อฉันอยู่บ้างหรือเปล่า”
“หากไม่มีใครจำชื่อของเธอได้?”
“การลืมชื่อ คงดีกว่าการที่ยังจำชื่อ เสียง และหน้าตาได้ แต่ลืมทุกความหมายเกี่ยวกับมัน”
“คลื่นสูงเท่าเสาของเรือสำเภากำลังใกล้เข้ามา”
“ฉันเห็นเพียงเวลาที่ผ่านไป ยิ่งผ่านไปก็ยิ่งกลัว”
“ลองมองย้อนกลับไปสิ”
“ยิ่งรู้ว่าไม่มีทางให้หันหลังกลับ”
“บางทีคนที่มีคำตอบ อาจจะไม่ใช่คนที่อยู่ตรงนี้ก็ได้”
“หรือฉันคือเขา ที่ยังหาคำตอบไม่ได้ แล้วยังต้องกลับมาตามหาซ้ำในที่ๆเดิม”
“เขาเป็นใคร?”
…
ฉันรู้จักเขาผ่านเรื่องเล่าจากคนรักของเขา แต่คนรักของเขาไม่ยอมบอกเหตุผลว่าทำไม เธอถึงรักเขา
ฉันแทบจะเชื่อว่าเธอคงไม่รักเขาแล้ว แต่ก็ยังคิดว่า ถ้าหากได้มีโอกาสพบกับเขาจริงๆ ฉันอาจจะตกหลุมรักเขาเองก็ได้
ฉันคิดอยากจะพบเขาหลายครั้ง แต่ก็รู้ดีว่าเป็นไปไม่ได้ เราอาศัยอยู่กันคนละโลกแล้ว
ฉันอยู่ในโลกเดียวกับคนรักของเขา ฉันไม่อาจรู้ได้ว่าเขายังรักเธออยู่หรือเปล่า ฉันไม่อาจรู้ได้ว่าเขาจะรักฉันด้วยหรือเปล่า
เราคงไม่มีวันพบกันในโลกนี้ได้ เขาไม่รู้ด้วยซ้ำว่าฉันมีตัวตนอยู่จริง แต่ฉันแน่ใจจากคำพูดและเรื่องราวอันเจ็บปวดของเธอ ว่าเขามีอยู่จริง
…
ฉันจำชื่อของเขาไม่ได้ แม้ว่าจะถามใครต่อใครไปหลายต่อหลายครั้ง ก็จำได้แค่ว่า คนรักของเขาเคยบอกกับฉันว่า ชื่อของเขามีความหมายเกี่ยวข้องกับต้นไม้
“ไม้ เมื่อมีไม้มารวมกัน ก็คือต้นไม้ เมื่อต้นไม้มารวมกัน ก็คือป่าไม้”
นั่นคือความหมายของชื่อเขา ฉันเชื่ออย่างนั้น เพราะฉันไม่สามารถถามหาความหมายนั้นจากปากของเขาเองได้ ฉันสามารถพบเขาผ่านทางภาพถ่ายที่ดูไม่เสมือนจริงเท่านั้น ซึ่งภาพถ่ายนั้นก็ถูกความโลภของทะเล ฉวยเอาไปตอนที่คลื่นสูงเท่าเสาเรือ ซัดโถมใส่เรือสำเภาเล็กๆของฉันเมื่อปีก่อน
เวลาเป็นหน่วยปีผ่านไป เหมือนเป็นเพียงลมทะเลวูบหนึ่ง แต่ในหนึ่งวูบปี มันคือทุกๆวันที่ผ่านไปแล้วเช่นกัน
…
ฉันแทบจะเชื่อว่าเธอคงไม่รักเขาแล้ว แต่ยังคิดว่า ถ้าหากได้มีโอกาสพบกับเขาจริงๆ ฉันอาจจะตกหลุมรักเขาเองก็ได้
“เขาเป็นคนลายมือสวย สวยมาก ไม่มีใครเทียบ”
นั่นเป็นคำชมเดียวจากปากของคนรักของเขา เท่าที่ฉันจำได้
“แต่เขาต้องทำตรงข้ามกับชาวบ้านเขาทุกอย่าง เข้าใจไหม ใครก็ว่าไม่ได้ด้วย พวกคนอย่างเขาชอบคิดว่าตัวเองเก่งที่สุดในโลก ไม่เคยยอมใคร เธออย่าไปเอาอย่างเขาหละ”
น้ำเสียงเธอใส่อารมณ์ด้วยความแค้น หมั่นไส้ อิจฉา และสะใจไปพร้อมๆกัน ฉันฟังไปก็หดหู่แทนคนรักของเธอ ถึงแม้ฉันจะไม่รู้ว่าเขายังรักเธออยู่ไหม แต่ฉันแน่ใจว่า คงมีบางครั้ง ที่เขาอยากจะหนีไปจากความไม่เข้าใจเหล่านี้
คนรักของเขาไม่เคยบอกเหตุผลว่าทำไม เธอถึงรักเขา
…
วันหนึ่ง ฉันได้มีโอกาสมานั่งข้างลูกชายของเขา บนเรือบินลำเล็ก มันคงไม่ยากนักที่จะนึกถึงใครสักคนในขณะที่เรากำลังเดินทางอยู่ในที่ซึ่งไร้เวลาที่แน่นอน กลางอากาศ พวกเรานั่งบนเบาะสีน้ำเงิน มองออกไปที่หน้าต่างสองชั้นรูปวงรี ข้างนอกมีเพียงเมฆ และความว่างเปล่า สุดลูกหูลูกตา
ฉันขอให้ลูกชายของเขา เล่าเรื่องเขาให้ฉันฟัง นี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่ฉันถาม
ลูกชายของเขามองสูงไปเหนือกว่าก้อนเมฆ ความทรงจำมักลอยอยู่บนที่สูง แต่ฉันเพิ่งรู้ว่ามันลอยอยู่สูงยิ่งกว่าก้อนเมฆเสียอีก ณ ชั่วขณะหนึ่ง ในสายตาลูกชายของเขา เหมือนจะเห็นริ้วเมฆเป็นประกายคลื่นที่กำลังพัดพาเรือสำเภาเข้าเทียบที่ริมฝั่ง
“เขามาจากครอบครัวของกัปตันผู้เดินเรือ” ลูกชายของเขาเริ่ม
“ครอบครัวเขาช่วยคนหลายครอบครัว ให้อพยพมาสร้างชีวิตใหม่ที่นี่ พวกคนจีนเคารพนับถือกันเป็นครอบครัวอยู่แล้ว ครอบครัวของกัปตันเลยถูกนักว่าเป็นพี่ใหญ่ของทุกคน”
ฉันได้ยินเสียงคลื่นจากนอกหน้าต่างในขณะที่ลูกชายของเขากำลังจินตนาการการเดินทางของพ่อ และดินแดนที่ครอบครัวของพ่อเขาจากมา
“ครอบครัวหนึ่งที่เขาช่วยเหลือ เกิดได้มาเป็นพ่อค้าใหญ่ เป็นถึงตระกูลท่านขุนในสมัยนั้น เมื่อถึงสมัยพ่อของผม ครอบครัวนั้นก็เป็นเศรษฐี แต่ก็ยังคอยช่วยเหลือครอบครัวพี่ใหญ่อยู่บ้าง”
“เขาทำอะไร?”
“เขา เคยไปคุมโรงไฟฟ้าที่ต่างจังหวัด ก่อนจะมาเป็นนักเขียนคอลัมการ์ตูนให้หนังสือพิมพ์ แล้วก็ลาออก ไม่มีงาน ก็เลยขอกลับไปช่วยงานที่โรงไฟฟ้าอีก”
“เขียนการ์ตูนแบบไหน?”
“การ์ตูนช่อง เรื่องสั้นๆ สามสี่ช่องก็จบตอน ลงในหนังสือพิมพ์”
ฉันสังเกตเห็นรอยยิ้มที่ฉันไม่คาดคิด ตรงขอบตาของลูกชายเขา
“เขามักจะหาหนังสือและภาพเขียนมาดู มานั่งสังเกต มาศึกษาเอง เขาเป็นคนเก่ง มีฝีมือ เขาเรียนรู้วิธีการเขียนพู่กันจีนเอง หัดเขียนใบไม้ หัดเขียนภาพคน เวลาผมกลับบ้านมาตอนบ่ายๆ ก็มักจะเห็นเขา กับกระดาษม้วนยาวบนโต๊ะ พู่กันในมือ และเขาที่กำลังฝึกฝนการตวัดปลายพู่กัน ตวัด ตวัด ตวัด ตวัดอยู่อย่างนั้นจนมั่นใจ”
นั่นเป็นหนึ่งในไม่กี่ครั้งที่ฉันได้เห็น และได้ยินลูกชายของเขาออกปากชื่นชมใคร ด้วยสายตาที่ดูภาคภูมิใจเช่นนี้ ฉันนึกอิจฉาด้วยซ้ำ
“เขาเป็นคนเก่ง มีฝีมือ”
อีกครั้งที่คำๆนั้นทำให้ฉันยิ่งอยากรู้จักเขามากขึ้น และยิ่งอยากจะพบเขา
…
“คืนนั้นเขาเดินมาเคาะที่ห้องผม บอกให้รีบไปส่งที่โรงพยาบาล เขาหายใจไม่ออก”
ฉันรู้สึกแน่นในปอดทันทีที่ลูกชายของเขาเริ่มเล่าเรื่อง ฉันจำไม่ได้แล้วว่าอะไรที่ทำให้เขาเล่าเรื่องนี้ คงเป็นฉันเองที่ไปถาม แต่ฉันจำไม่ได้แล้วว่าเมื่อไหร่ และอะไรทำให้ฉันถามคำถามนั้นไป
“ผมยังจำตอนที่ขับรถไปส่งเขาได้ เป็นเวลากลางดึก ประมาณตีสองตีสาม ทุกคนในบ้านยังหลับอยู่ ผมไปกับเขาแค่สองคน”
ฉันรู้สึกเหมือนกับว่า ฉันได้นั่งรถออกไปกับพวกเขากลางดึกคืนนั้นด้วย
“ผมนั่งรออยู่ที่หน้าห้องฉุกเฉิน จนกระทั่งหมอออกมาบอกว่า เขาไปแล้ว”
แปลกที่บางครั้งการจากลามักจะไม่ได้มาพร้อมกับคำอำลาที่เหมาะสม ฉันนึกน้อยใจที่เขาไม่สามารถอยู่เพื่อทำความรู้จัก หรือแม้แต่ต้อนรับฉัน คงไม่ต้องหวังถึงคำร่ำลา เขาไม่รู้ด้วยซ้ำว่าฉันมีตัวตนอยู่จริง
“ผมนั่งอยู่ในรถอยู่นาน จนเผลอหลับไป แล้วตำรวจมาปลุกเพราะคิดว่าผมเมา ผมเงยหน้าขึ้น แล้วตอบเจ้าหน้าที่คนนั้นไปว่า พ่อผมเพิ่งตาย แล้วผมก็ขับรถกลับบ้านคนเดียว”
ลูกชายของเขาเป็นคนเข้มแข็ง บางครั้งก็ดูเกรี้ยวกราด เหมือนเกลียวคลื่นที่สามารถพัดเอาเรือสำเภาเข้าฝั่งได้ด้วยการตวัดเพียงครั้งเดียว แต่ตอนนี้เขาดูเหมือนทะเลที่แล้งคลื่น เปลือยเปล่า และไร้ทางจะต่อสู้ แม้แต่กับไม้พายเล่มเล็กเล่มเดียว
“ผมบอกกับแม่ในตอนเช้า แม่ตอบกลับมาว่า เขาโชคดีหนีไปก่อนแล้ว สบายแล้ว”
…..
“เขา อยู่ตัวคนเดียวตอนนี้?”
“จริงอยู่ แต่ไปไกลแล้ว เขาเดินทางออกไปไกลขนาดนั้น”
“ไกลจนหลงทาง?”
“ใช่ เคว้งคว้าง ลำพังกลางมหาสมุทร ไม่ว่าจะหันไปทางไหนก็ไม่มีใครเหลืออยู่แล้ว”
“แล้วจะไปต่อทางไหน ยังไง?”
“ตะโกนถามเท่าไหร่ก็ไม่มีใครรับรู้”
“ไม่มีคำตอบ?”
“ไม่แน่ใจว่ายังมีคนคอยเรียกชื่อเขาอยู่บ้างหรือเปล่า”
“หากไม่มีใครจำชื่อของเขาได้?”
“การลืมชื่อ คงดีกว่าการที่ยังจำชื่อ เสียง และหน้าตาได้ แต่ลืมทุกความหมายเกี่ยวกับมัน”
“ไม้ เมื่อมีไม้มารวมกัน ก็คือต้นไม้ เมื่อต้นไม้มารวมกัน ก็คือป่าไม้”
“คลื่นสูงเท่าเสาของเรือสำเภากำลังใกล้เข้ามา”
“ฉันเห็นเพียงเวลาที่ผ่านไป เวลาเป็นหน่วยปีผ่านไป เหมือนเป็นเพียงลมทะเลวูบหนึ่ง แต่ในหนึ่งวูบปี มันคือทุกๆวันที่ผ่านไปแล้วเช่นกัน ยิ่งผ่านไปก็ยิ่งกลัว”
“ลองมองย้อนกลับไปสิ”
“ยิ่งรู้ว่าไม่มีทางให้หันหลังกลับ”
“บางทีคนที่มีคำตอบ อาจจะไม่ใช่คนที่อยู่ตรงนั้นก็ได้”
“หรือเขาคือฉัน ที่ยังหาคำตอบไม่ได้ แล้วยังต้องกลับมาตามหาซ้ำในที่ๆเดิม”
“ฉันเป็นใคร?”
6 มิถุนายน 2560
“จริงอยู่ แต่ฉันมาไกลแล้ว ฉันเดินทางออกมาไกลขนาดนี้”
“ไกลจนหลงทาง?”
“ใช่ เคว้งคว้าง ลำพังกลางมหาสมุทร ไม่ว่าจะหันไปทางไหนก็ไม่มีใครเหลืออยู่แล้ว”
“แล้วจะไปต่อทางไหน ยังไง?”
“ตะโกนถามเท่าไหร่ก็ไม่มีใครรับรู้”
“ไม่มีคำตอบ?”
“ไม่แน่ใจว่ายังมีคนคอยเรียกชื่อฉันอยู่บ้างหรือเปล่า”
“หากไม่มีใครจำชื่อของเธอได้?”
“การลืมชื่อ คงดีกว่าการที่ยังจำชื่อ เสียง และหน้าตาได้ แต่ลืมทุกความหมายเกี่ยวกับมัน”
“คลื่นสูงเท่าเสาของเรือสำเภากำลังใกล้เข้ามา”
“ฉันเห็นเพียงเวลาที่ผ่านไป ยิ่งผ่านไปก็ยิ่งกลัว”
“ลองมองย้อนกลับไปสิ”
“ยิ่งรู้ว่าไม่มีทางให้หันหลังกลับ”
“บางทีคนที่มีคำตอบ อาจจะไม่ใช่คนที่อยู่ตรงนี้ก็ได้”
“หรือฉันคือเขา ที่ยังหาคำตอบไม่ได้ แล้วยังต้องกลับมาตามหาซ้ำในที่ๆเดิม”
“เขาเป็นใคร?”
…
ฉันรู้จักเขาผ่านเรื่องเล่าจากคนรักของเขา แต่คนรักของเขาไม่ยอมบอกเหตุผลว่าทำไม เธอถึงรักเขา
ฉันแทบจะเชื่อว่าเธอคงไม่รักเขาแล้ว แต่ก็ยังคิดว่า ถ้าหากได้มีโอกาสพบกับเขาจริงๆ ฉันอาจจะตกหลุมรักเขาเองก็ได้
ฉันคิดอยากจะพบเขาหลายครั้ง แต่ก็รู้ดีว่าเป็นไปไม่ได้ เราอาศัยอยู่กันคนละโลกแล้ว
ฉันอยู่ในโลกเดียวกับคนรักของเขา ฉันไม่อาจรู้ได้ว่าเขายังรักเธออยู่หรือเปล่า ฉันไม่อาจรู้ได้ว่าเขาจะรักฉันด้วยหรือเปล่า
เราคงไม่มีวันพบกันในโลกนี้ได้ เขาไม่รู้ด้วยซ้ำว่าฉันมีตัวตนอยู่จริง แต่ฉันแน่ใจจากคำพูดและเรื่องราวอันเจ็บปวดของเธอ ว่าเขามีอยู่จริง
…
ฉันจำชื่อของเขาไม่ได้ แม้ว่าจะถามใครต่อใครไปหลายต่อหลายครั้ง ก็จำได้แค่ว่า คนรักของเขาเคยบอกกับฉันว่า ชื่อของเขามีความหมายเกี่ยวข้องกับต้นไม้
“ไม้ เมื่อมีไม้มารวมกัน ก็คือต้นไม้ เมื่อต้นไม้มารวมกัน ก็คือป่าไม้”
นั่นคือความหมายของชื่อเขา ฉันเชื่ออย่างนั้น เพราะฉันไม่สามารถถามหาความหมายนั้นจากปากของเขาเองได้ ฉันสามารถพบเขาผ่านทางภาพถ่ายที่ดูไม่เสมือนจริงเท่านั้น ซึ่งภาพถ่ายนั้นก็ถูกความโลภของทะเล ฉวยเอาไปตอนที่คลื่นสูงเท่าเสาเรือ ซัดโถมใส่เรือสำเภาเล็กๆของฉันเมื่อปีก่อน
เวลาเป็นหน่วยปีผ่านไป เหมือนเป็นเพียงลมทะเลวูบหนึ่ง แต่ในหนึ่งวูบปี มันคือทุกๆวันที่ผ่านไปแล้วเช่นกัน
…
ฉันแทบจะเชื่อว่าเธอคงไม่รักเขาแล้ว แต่ยังคิดว่า ถ้าหากได้มีโอกาสพบกับเขาจริงๆ ฉันอาจจะตกหลุมรักเขาเองก็ได้
“เขาเป็นคนลายมือสวย สวยมาก ไม่มีใครเทียบ”
นั่นเป็นคำชมเดียวจากปากของคนรักของเขา เท่าที่ฉันจำได้
“แต่เขาต้องทำตรงข้ามกับชาวบ้านเขาทุกอย่าง เข้าใจไหม ใครก็ว่าไม่ได้ด้วย พวกคนอย่างเขาชอบคิดว่าตัวเองเก่งที่สุดในโลก ไม่เคยยอมใคร เธออย่าไปเอาอย่างเขาหละ”
น้ำเสียงเธอใส่อารมณ์ด้วยความแค้น หมั่นไส้ อิจฉา และสะใจไปพร้อมๆกัน ฉันฟังไปก็หดหู่แทนคนรักของเธอ ถึงแม้ฉันจะไม่รู้ว่าเขายังรักเธออยู่ไหม แต่ฉันแน่ใจว่า คงมีบางครั้ง ที่เขาอยากจะหนีไปจากความไม่เข้าใจเหล่านี้
คนรักของเขาไม่เคยบอกเหตุผลว่าทำไม เธอถึงรักเขา
…
วันหนึ่ง ฉันได้มีโอกาสมานั่งข้างลูกชายของเขา บนเรือบินลำเล็ก มันคงไม่ยากนักที่จะนึกถึงใครสักคนในขณะที่เรากำลังเดินทางอยู่ในที่ซึ่งไร้เวลาที่แน่นอน กลางอากาศ พวกเรานั่งบนเบาะสีน้ำเงิน มองออกไปที่หน้าต่างสองชั้นรูปวงรี ข้างนอกมีเพียงเมฆ และความว่างเปล่า สุดลูกหูลูกตา
ฉันขอให้ลูกชายของเขา เล่าเรื่องเขาให้ฉันฟัง นี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่ฉันถาม
ลูกชายของเขามองสูงไปเหนือกว่าก้อนเมฆ ความทรงจำมักลอยอยู่บนที่สูง แต่ฉันเพิ่งรู้ว่ามันลอยอยู่สูงยิ่งกว่าก้อนเมฆเสียอีก ณ ชั่วขณะหนึ่ง ในสายตาลูกชายของเขา เหมือนจะเห็นริ้วเมฆเป็นประกายคลื่นที่กำลังพัดพาเรือสำเภาเข้าเทียบที่ริมฝั่ง
“เขามาจากครอบครัวของกัปตันผู้เดินเรือ” ลูกชายของเขาเริ่ม
“ครอบครัวเขาช่วยคนหลายครอบครัว ให้อพยพมาสร้างชีวิตใหม่ที่นี่ พวกคนจีนเคารพนับถือกันเป็นครอบครัวอยู่แล้ว ครอบครัวของกัปตันเลยถูกนักว่าเป็นพี่ใหญ่ของทุกคน”
ฉันได้ยินเสียงคลื่นจากนอกหน้าต่างในขณะที่ลูกชายของเขากำลังจินตนาการการเดินทางของพ่อ และดินแดนที่ครอบครัวของพ่อเขาจากมา
“ครอบครัวหนึ่งที่เขาช่วยเหลือ เกิดได้มาเป็นพ่อค้าใหญ่ เป็นถึงตระกูลท่านขุนในสมัยนั้น เมื่อถึงสมัยพ่อของผม ครอบครัวนั้นก็เป็นเศรษฐี แต่ก็ยังคอยช่วยเหลือครอบครัวพี่ใหญ่อยู่บ้าง”
“เขาทำอะไร?”
“เขา เคยไปคุมโรงไฟฟ้าที่ต่างจังหวัด ก่อนจะมาเป็นนักเขียนคอลัมการ์ตูนให้หนังสือพิมพ์ แล้วก็ลาออก ไม่มีงาน ก็เลยขอกลับไปช่วยงานที่โรงไฟฟ้าอีก”
“เขียนการ์ตูนแบบไหน?”
“การ์ตูนช่อง เรื่องสั้นๆ สามสี่ช่องก็จบตอน ลงในหนังสือพิมพ์”
ฉันสังเกตเห็นรอยยิ้มที่ฉันไม่คาดคิด ตรงขอบตาของลูกชายเขา
“เขามักจะหาหนังสือและภาพเขียนมาดู มานั่งสังเกต มาศึกษาเอง เขาเป็นคนเก่ง มีฝีมือ เขาเรียนรู้วิธีการเขียนพู่กันจีนเอง หัดเขียนใบไม้ หัดเขียนภาพคน เวลาผมกลับบ้านมาตอนบ่ายๆ ก็มักจะเห็นเขา กับกระดาษม้วนยาวบนโต๊ะ พู่กันในมือ และเขาที่กำลังฝึกฝนการตวัดปลายพู่กัน ตวัด ตวัด ตวัด ตวัดอยู่อย่างนั้นจนมั่นใจ”
นั่นเป็นหนึ่งในไม่กี่ครั้งที่ฉันได้เห็น และได้ยินลูกชายของเขาออกปากชื่นชมใคร ด้วยสายตาที่ดูภาคภูมิใจเช่นนี้ ฉันนึกอิจฉาด้วยซ้ำ
“เขาเป็นคนเก่ง มีฝีมือ”
อีกครั้งที่คำๆนั้นทำให้ฉันยิ่งอยากรู้จักเขามากขึ้น และยิ่งอยากจะพบเขา
…
“คืนนั้นเขาเดินมาเคาะที่ห้องผม บอกให้รีบไปส่งที่โรงพยาบาล เขาหายใจไม่ออก”
ฉันรู้สึกแน่นในปอดทันทีที่ลูกชายของเขาเริ่มเล่าเรื่อง ฉันจำไม่ได้แล้วว่าอะไรที่ทำให้เขาเล่าเรื่องนี้ คงเป็นฉันเองที่ไปถาม แต่ฉันจำไม่ได้แล้วว่าเมื่อไหร่ และอะไรทำให้ฉันถามคำถามนั้นไป
“ผมยังจำตอนที่ขับรถไปส่งเขาได้ เป็นเวลากลางดึก ประมาณตีสองตีสาม ทุกคนในบ้านยังหลับอยู่ ผมไปกับเขาแค่สองคน”
ฉันรู้สึกเหมือนกับว่า ฉันได้นั่งรถออกไปกับพวกเขากลางดึกคืนนั้นด้วย
“ผมนั่งรออยู่ที่หน้าห้องฉุกเฉิน จนกระทั่งหมอออกมาบอกว่า เขาไปแล้ว”
แปลกที่บางครั้งการจากลามักจะไม่ได้มาพร้อมกับคำอำลาที่เหมาะสม ฉันนึกน้อยใจที่เขาไม่สามารถอยู่เพื่อทำความรู้จัก หรือแม้แต่ต้อนรับฉัน คงไม่ต้องหวังถึงคำร่ำลา เขาไม่รู้ด้วยซ้ำว่าฉันมีตัวตนอยู่จริง
“ผมนั่งอยู่ในรถอยู่นาน จนเผลอหลับไป แล้วตำรวจมาปลุกเพราะคิดว่าผมเมา ผมเงยหน้าขึ้น แล้วตอบเจ้าหน้าที่คนนั้นไปว่า พ่อผมเพิ่งตาย แล้วผมก็ขับรถกลับบ้านคนเดียว”
ลูกชายของเขาเป็นคนเข้มแข็ง บางครั้งก็ดูเกรี้ยวกราด เหมือนเกลียวคลื่นที่สามารถพัดเอาเรือสำเภาเข้าฝั่งได้ด้วยการตวัดเพียงครั้งเดียว แต่ตอนนี้เขาดูเหมือนทะเลที่แล้งคลื่น เปลือยเปล่า และไร้ทางจะต่อสู้ แม้แต่กับไม้พายเล่มเล็กเล่มเดียว
“ผมบอกกับแม่ในตอนเช้า แม่ตอบกลับมาว่า เขาโชคดีหนีไปก่อนแล้ว สบายแล้ว”
…..
“เขา อยู่ตัวคนเดียวตอนนี้?”
“จริงอยู่ แต่ไปไกลแล้ว เขาเดินทางออกไปไกลขนาดนั้น”
“ไกลจนหลงทาง?”
“ใช่ เคว้งคว้าง ลำพังกลางมหาสมุทร ไม่ว่าจะหันไปทางไหนก็ไม่มีใครเหลืออยู่แล้ว”
“แล้วจะไปต่อทางไหน ยังไง?”
“ตะโกนถามเท่าไหร่ก็ไม่มีใครรับรู้”
“ไม่มีคำตอบ?”
“ไม่แน่ใจว่ายังมีคนคอยเรียกชื่อเขาอยู่บ้างหรือเปล่า”
“หากไม่มีใครจำชื่อของเขาได้?”
“การลืมชื่อ คงดีกว่าการที่ยังจำชื่อ เสียง และหน้าตาได้ แต่ลืมทุกความหมายเกี่ยวกับมัน”
“ไม้ เมื่อมีไม้มารวมกัน ก็คือต้นไม้ เมื่อต้นไม้มารวมกัน ก็คือป่าไม้”
“คลื่นสูงเท่าเสาของเรือสำเภากำลังใกล้เข้ามา”
“ฉันเห็นเพียงเวลาที่ผ่านไป เวลาเป็นหน่วยปีผ่านไป เหมือนเป็นเพียงลมทะเลวูบหนึ่ง แต่ในหนึ่งวูบปี มันคือทุกๆวันที่ผ่านไปแล้วเช่นกัน ยิ่งผ่านไปก็ยิ่งกลัว”
“ลองมองย้อนกลับไปสิ”
“ยิ่งรู้ว่าไม่มีทางให้หันหลังกลับ”
“บางทีคนที่มีคำตอบ อาจจะไม่ใช่คนที่อยู่ตรงนั้นก็ได้”
“หรือเขาคือฉัน ที่ยังหาคำตอบไม่ได้ แล้วยังต้องกลับมาตามหาซ้ำในที่ๆเดิม”
“ฉันเป็นใคร?”
6 มิถุนายน 2560