“...ไม่เห็นมูลค่าทางธุรกิจในศิลปะนะ นอกจากจะเป็นการสื่อสารเพื่อการค้า”
หลายๆคนอาจจะรู้สึกเห็นด้วยกับคำพูดนี้ แต่เราไม่ ฉะนั้นวันนี้ขอลองเสนออีกมุมมอง เกี่ยวกับมูลค่าของศิลปะดูบ้าง (และขอไม่พูดถึงเรื่องคุณค่าในที่นี้)
เมื่อพูดถึงงานศิลปะ แบบที่คนเราจะจิตนาการว่าเป็นภาพวาด แขวนอยู่บนผนังห้องขาวๆ หรืองานประติมากรรมชิ้นใหญ่ชิ้นเล็ก สิ่งแรกที่คิดขึ้นมาอาจจะเป็น ‘ก็สวยดี แล้วไงต่อ?’ เมื่อไปพลิกดู Catalog แล้วเห็นราคา ก็คงตั้งคำถาม ‘ทำไมแพงขนาดนี้ ลูกเราก็วาดได้’ นี่ยังไม่นับงานประเภทอื่นๆที่บางคนอาจยังไม่เคยเห็น หรือคิดว่ามันก็เป็นงานศิลปะนะ
ประเด็นแรกนี้ก็คือ มูลค่าของชิ้นงาน จากประสบการณ์ที่เคยทำงานทั้งใน Gallery, Art Center และกับศิลปิน ก็ขออธิบายอย่างย่อว่า ในวงการศิลปะ มักจะประกอบไปด้วย
Gallery, นักสะสม และ สถาบันศิลปะ
(แบบคร่าวๆมากนะ) ซึ่งเป็นกลไกลทางธุรกิจศิลป์ ขับเคลื่อนให้เกิดการค้าขาย ง่ายที่สุดก็มองงานศิลปะเป็น Asset(ทรัพย์สิน) ที่สามารถซื้อเก็งกำไรได้ โดยมีสถาบันศิลปะเป็นส่วนหนึ่งของการกำหนดมาตรฐานที่มีผลต่อมูลค่า; Gallery เหมือนเป็นหน้าร้าน; และนักสะสม เปรียบเป็นนักลงทุน... ในประเด็นแรกนี้ ตั้งใจจะเปิดม่านที่บางคนอาจจะไม่เคยได้สัมผัสกับเวทีตลาดศิลปะ หรืออาจจะคาดไม่ถึง ว่าจริงๆมันมีตลาดนี้อยู่ ซึ่งไม่ต่างจากคนที่เล่นหุ้น หรือ trade สินค้าแบรนด์ นี่คือมูลค่าของศิลปะที่มีอยู่แล้วทั่วโลก ตั้งแต่อดีต ถึง ปัจจุบัน
ประเด็นมูลค่าทางศิลปะลำดับแรกนี้ อาจจะไม่ใช่เรื่องใหม่สำหรับบางคน หรือพอจะเดาได้อยู่บ้างแล้ว งั้นขอชวนให้ทุกคนมาเปิดม่านที่สองกันต่อ มาเกาะขอบสนาม ตามดูหลังเวทีกัน สำหรับหลังเวทีนี้ขอเล่าในมุมมองของศิลปิน (จะได้เป็นประสบการณ์ตรงที่สุด)
‘เดี๋ยวนะ ศิลปินเกี่ยวอะไรกับมูลค่าด้วยหรอ?’
คำตอบคือเกี่ยวมาก เบื้องต้นก็ชื่อเสียงของศิลปินที่สามารถทำมูลค่าได้ ไม่ต่างกับการที่เราเสียค่าใช้จ่าย ในการเชิญคนที่มีชื่อเสียง vs คนที่อาจจะเพิ่งเริ่มต้นในสายงานนั้นๆมาเป็นวิทยากร
ในประเด็นชื่อเสียงนี้ อยากให้ทุกคนลองถามไปอีกว่าทำไมเขาถึงมีชื่อเสียงได้ แน่นอน มันมีหลากหลายวิธี แต่หนึ่งในนั้นที่น่าสนใจ คือ เขาอาจจะเป็นคนที่คิด หรือทดลองการนำเสนอ รูปแบบงานที่แปลกใหม่ จนได้รับการยอมรับในที่สุด ที่เน้นวิธีนี้เพราะอยากให้เห็นว่า ในกระบวนการ “ผลิต” ชิ้นงาน ก็ต้องใช้ความสามารถที่มากกว่าแค่งานฝีมือเพื่อสร้างมูลค่าเช่นกัน ไม่ต่างอะไรกับการที่เราให้มูลค่ากับสายอาชีพอื่นๆ ที่มีระดับการทำงานตั้งแต่ขั้น operation (อาจจะใช้แรงมากหน่อย), management (ใช้ความคิดมากขึ้น) และอื่นๆ ซึ่งในสายงานอื่นๆ ก็มีการให้มูลค่า(ค่าตัว) ที่ต่างกันไปตามระดับความสามารถเช่นกัน สิ่งที่อยากให้เห็นหลังม่านที่สองนี้ก็คือ สายอาชีพนี้ก็ไม่ได้ต่างอะไรกับสายอาชีพอื่นๆไปมากนัก ในแง่ของความเชี่ยวชาญ และความสามารถในการปฏิบัติการ
ผ่านไปแล้วสองม่าน หวังว่าอย่างน้อยมันอาจจะทำให้คุณพอเห็นความสอดคล้องกับชีวิตการทำงาน ที่กว้างขึ้น หรือคล้ายคลึงกับการทำงานของคุณเอง
สุดท้าย ทั้งสองม่านนั้นอาจจะไม่ได้ทำให้คุณตื่นเต้น หรือเข้าใจศิลปะมากขึ้น และอาจจะยังตั้งคำถามต่อไปได้ว่า ‘ไม่มีอะไรนอกจากนี้หรอ? สำหรับคนที่ไม่ใช่นักสะสม หรือ ศิลปิน จะสนใจไปทำไม?’ ยินดีมากหากคุณตั้งคำถามนี้อยู่จริงๆ แต่ก่อนจะตอบคำถามนี้ อยากลองให้ผู้อ่านตอบคำถามก่อนว่า:
“แล้วคุณล่ะเป็นอะไรหากไม่ใช่นักสะสม/ศิลปิน/คนในวงการตลาดศิลป์?
และที่สำคัญกว่า... แล้วคุณอยากมีความสัมพันธ์อย่างไรกับศิลปะ?”
คำตอบ: ...
ที่รอคำตอบอยู่ก็เพราะว่า หากคุณตอบได้ นั่นแสดงถึงสัญญาณแรกว่าคุณอยากทำความรู้จักกับศิลปะมากขึ้นจริงๆ และอีกข้อที่สำคัญก็คือ หากคุณพอจะระบุได้แล้วว่าคุณสนใจแง่มุมไหนของมัน คุณจะหาทางเชื่อมโยง และพบประโยชน์ของมันได้นั่นเอง... สำหรับตอนนี้อาจจะต้องโยงเส้นทางความคิดมากขึ้นหน่อย เพราะเรากำลังเปิดม่านที่สาม เพื่อออกไปผจญภัยกับโลกใหม่ของ
“คุณ และ ศิลปะ”
ประเด็นสุดท้ายที่อยากเสนอก็คือ ศิลปะมีอะไรมากกว่าที่เราเพิ่งได้แตะๆในม่านที่หนึ่ง และสองเมื่อสักครู่มาก หนึ่งในนั้นคือ “กระบวนการ และการศึกษาศิลปะ” บางคนอาจจะเคยได้ยินเรื่องศิลปะบำบัดมาบ้าง นี่ก็เป็นตัวอย่างของการนำกระบวนการมาต่อยอด เพื่อใช้ในจุดประสงค์อื่นๆ นอกเหนือจากการสร้างสรรค์ผลงาน และดูท่าจะกำลังเป็นที่นิยมซะด้วย การศึกษาศิลปะเป็นอีกเรื่องที่น่าสนใจ (โดยส่วนตัวของผู้เขียนด้วย) เหล่าผู้เชี่ยวชาญ และนักปฏิบัติในวงการศิลปะ? เขาศึกษาอะไรกัน? ฝึกฝนเรื่องอะไร? อะไรทำให้เขาคิดได้อย่างนั้น? และอะไรที่ทำให้เขายังคงทำงานอยู่ในโลกที่คนอาจมองว่า “ไม่มีมูลค่า” ต่อไปได้?
หลังม่านสุดท้ายนี้เราเองก็ไม่มีคำตอบตายตัว เพราะผู้เขียนเองก็เป็นหนึ่งในผู้พยายามค้นหาคำตอบเช่นกันว่า ศิลปะมีอะไรให้เราค้นพบได้อีกบ้าง? และจะนำสิ่งที่ค้นพบเหล่านั้น มาต่อยอดให้เกิดมูลค่าทางธุรกิจได้อย่างไร? โดยส่วนตัวเชื่อว่ายังไงก็มีมูลค่าทางธุรกิจได้ เพราะหากสิ่งที่เราค้นพบมา เป็นสิ่งที่มีประโยชน์ และเป็นที่ต้องการ(แม้แต่กับคนบางกลุ่ม) การทำธุรกิจ ก็คือการส่งต่อสิ่งเหล่านั้น ในรูปแบบที่ทุกๆสายอาชีพก็ทำกัน จริงไหม?
“บางทีที่ยังไม่เห็นมูลค่า อาจจะเป็นเพราะว่าเรายังไม่เคยมองหามันหรือเปล่า?”
10.01.2020
หลายๆคนอาจจะรู้สึกเห็นด้วยกับคำพูดนี้ แต่เราไม่ ฉะนั้นวันนี้ขอลองเสนออีกมุมมอง เกี่ยวกับมูลค่าของศิลปะดูบ้าง (และขอไม่พูดถึงเรื่องคุณค่าในที่นี้)
เมื่อพูดถึงงานศิลปะ แบบที่คนเราจะจิตนาการว่าเป็นภาพวาด แขวนอยู่บนผนังห้องขาวๆ หรืองานประติมากรรมชิ้นใหญ่ชิ้นเล็ก สิ่งแรกที่คิดขึ้นมาอาจจะเป็น ‘ก็สวยดี แล้วไงต่อ?’ เมื่อไปพลิกดู Catalog แล้วเห็นราคา ก็คงตั้งคำถาม ‘ทำไมแพงขนาดนี้ ลูกเราก็วาดได้’ นี่ยังไม่นับงานประเภทอื่นๆที่บางคนอาจยังไม่เคยเห็น หรือคิดว่ามันก็เป็นงานศิลปะนะ
ประเด็นแรกนี้ก็คือ มูลค่าของชิ้นงาน จากประสบการณ์ที่เคยทำงานทั้งใน Gallery, Art Center และกับศิลปิน ก็ขออธิบายอย่างย่อว่า ในวงการศิลปะ มักจะประกอบไปด้วย
Gallery, นักสะสม และ สถาบันศิลปะ
(แบบคร่าวๆมากนะ) ซึ่งเป็นกลไกลทางธุรกิจศิลป์ ขับเคลื่อนให้เกิดการค้าขาย ง่ายที่สุดก็มองงานศิลปะเป็น Asset(ทรัพย์สิน) ที่สามารถซื้อเก็งกำไรได้ โดยมีสถาบันศิลปะเป็นส่วนหนึ่งของการกำหนดมาตรฐานที่มีผลต่อมูลค่า; Gallery เหมือนเป็นหน้าร้าน; และนักสะสม เปรียบเป็นนักลงทุน... ในประเด็นแรกนี้ ตั้งใจจะเปิดม่านที่บางคนอาจจะไม่เคยได้สัมผัสกับเวทีตลาดศิลปะ หรืออาจจะคาดไม่ถึง ว่าจริงๆมันมีตลาดนี้อยู่ ซึ่งไม่ต่างจากคนที่เล่นหุ้น หรือ trade สินค้าแบรนด์ นี่คือมูลค่าของศิลปะที่มีอยู่แล้วทั่วโลก ตั้งแต่อดีต ถึง ปัจจุบัน
ประเด็นมูลค่าทางศิลปะลำดับแรกนี้ อาจจะไม่ใช่เรื่องใหม่สำหรับบางคน หรือพอจะเดาได้อยู่บ้างแล้ว งั้นขอชวนให้ทุกคนมาเปิดม่านที่สองกันต่อ มาเกาะขอบสนาม ตามดูหลังเวทีกัน สำหรับหลังเวทีนี้ขอเล่าในมุมมองของศิลปิน (จะได้เป็นประสบการณ์ตรงที่สุด)
‘เดี๋ยวนะ ศิลปินเกี่ยวอะไรกับมูลค่าด้วยหรอ?’
คำตอบคือเกี่ยวมาก เบื้องต้นก็ชื่อเสียงของศิลปินที่สามารถทำมูลค่าได้ ไม่ต่างกับการที่เราเสียค่าใช้จ่าย ในการเชิญคนที่มีชื่อเสียง vs คนที่อาจจะเพิ่งเริ่มต้นในสายงานนั้นๆมาเป็นวิทยากร
ในประเด็นชื่อเสียงนี้ อยากให้ทุกคนลองถามไปอีกว่าทำไมเขาถึงมีชื่อเสียงได้ แน่นอน มันมีหลากหลายวิธี แต่หนึ่งในนั้นที่น่าสนใจ คือ เขาอาจจะเป็นคนที่คิด หรือทดลองการนำเสนอ รูปแบบงานที่แปลกใหม่ จนได้รับการยอมรับในที่สุด ที่เน้นวิธีนี้เพราะอยากให้เห็นว่า ในกระบวนการ “ผลิต” ชิ้นงาน ก็ต้องใช้ความสามารถที่มากกว่าแค่งานฝีมือเพื่อสร้างมูลค่าเช่นกัน ไม่ต่างอะไรกับการที่เราให้มูลค่ากับสายอาชีพอื่นๆ ที่มีระดับการทำงานตั้งแต่ขั้น operation (อาจจะใช้แรงมากหน่อย), management (ใช้ความคิดมากขึ้น) และอื่นๆ ซึ่งในสายงานอื่นๆ ก็มีการให้มูลค่า(ค่าตัว) ที่ต่างกันไปตามระดับความสามารถเช่นกัน สิ่งที่อยากให้เห็นหลังม่านที่สองนี้ก็คือ สายอาชีพนี้ก็ไม่ได้ต่างอะไรกับสายอาชีพอื่นๆไปมากนัก ในแง่ของความเชี่ยวชาญ และความสามารถในการปฏิบัติการ
ผ่านไปแล้วสองม่าน หวังว่าอย่างน้อยมันอาจจะทำให้คุณพอเห็นความสอดคล้องกับชีวิตการทำงาน ที่กว้างขึ้น หรือคล้ายคลึงกับการทำงานของคุณเอง
สุดท้าย ทั้งสองม่านนั้นอาจจะไม่ได้ทำให้คุณตื่นเต้น หรือเข้าใจศิลปะมากขึ้น และอาจจะยังตั้งคำถามต่อไปได้ว่า ‘ไม่มีอะไรนอกจากนี้หรอ? สำหรับคนที่ไม่ใช่นักสะสม หรือ ศิลปิน จะสนใจไปทำไม?’ ยินดีมากหากคุณตั้งคำถามนี้อยู่จริงๆ แต่ก่อนจะตอบคำถามนี้ อยากลองให้ผู้อ่านตอบคำถามก่อนว่า:
“แล้วคุณล่ะเป็นอะไรหากไม่ใช่นักสะสม/ศิลปิน/คนในวงการตลาดศิลป์?
และที่สำคัญกว่า... แล้วคุณอยากมีความสัมพันธ์อย่างไรกับศิลปะ?”
คำตอบ: ...
ที่รอคำตอบอยู่ก็เพราะว่า หากคุณตอบได้ นั่นแสดงถึงสัญญาณแรกว่าคุณอยากทำความรู้จักกับศิลปะมากขึ้นจริงๆ และอีกข้อที่สำคัญก็คือ หากคุณพอจะระบุได้แล้วว่าคุณสนใจแง่มุมไหนของมัน คุณจะหาทางเชื่อมโยง และพบประโยชน์ของมันได้นั่นเอง... สำหรับตอนนี้อาจจะต้องโยงเส้นทางความคิดมากขึ้นหน่อย เพราะเรากำลังเปิดม่านที่สาม เพื่อออกไปผจญภัยกับโลกใหม่ของ
“คุณ และ ศิลปะ”
ประเด็นสุดท้ายที่อยากเสนอก็คือ ศิลปะมีอะไรมากกว่าที่เราเพิ่งได้แตะๆในม่านที่หนึ่ง และสองเมื่อสักครู่มาก หนึ่งในนั้นคือ “กระบวนการ และการศึกษาศิลปะ” บางคนอาจจะเคยได้ยินเรื่องศิลปะบำบัดมาบ้าง นี่ก็เป็นตัวอย่างของการนำกระบวนการมาต่อยอด เพื่อใช้ในจุดประสงค์อื่นๆ นอกเหนือจากการสร้างสรรค์ผลงาน และดูท่าจะกำลังเป็นที่นิยมซะด้วย การศึกษาศิลปะเป็นอีกเรื่องที่น่าสนใจ (โดยส่วนตัวของผู้เขียนด้วย) เหล่าผู้เชี่ยวชาญ และนักปฏิบัติในวงการศิลปะ? เขาศึกษาอะไรกัน? ฝึกฝนเรื่องอะไร? อะไรทำให้เขาคิดได้อย่างนั้น? และอะไรที่ทำให้เขายังคงทำงานอยู่ในโลกที่คนอาจมองว่า “ไม่มีมูลค่า” ต่อไปได้?
หลังม่านสุดท้ายนี้เราเองก็ไม่มีคำตอบตายตัว เพราะผู้เขียนเองก็เป็นหนึ่งในผู้พยายามค้นหาคำตอบเช่นกันว่า ศิลปะมีอะไรให้เราค้นพบได้อีกบ้าง? และจะนำสิ่งที่ค้นพบเหล่านั้น มาต่อยอดให้เกิดมูลค่าทางธุรกิจได้อย่างไร? โดยส่วนตัวเชื่อว่ายังไงก็มีมูลค่าทางธุรกิจได้ เพราะหากสิ่งที่เราค้นพบมา เป็นสิ่งที่มีประโยชน์ และเป็นที่ต้องการ(แม้แต่กับคนบางกลุ่ม) การทำธุรกิจ ก็คือการส่งต่อสิ่งเหล่านั้น ในรูปแบบที่ทุกๆสายอาชีพก็ทำกัน จริงไหม?
“บางทีที่ยังไม่เห็นมูลค่า อาจจะเป็นเพราะว่าเรายังไม่เคยมองหามันหรือเปล่า?”
10.01.2020